24 มีนาคม วันวัณโรคสากล รู้ทัน ป้องกันความเสี่ยง “รู้เร็ว รักษาหาย ไม่แพร่กระจายเชื้อ”

          แพทย์หญิงเสาวนีย์ วิบุลสันติ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เปิดเผยว่า โรควัณโรคถือว่าเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของโลก โดยเป็นหนึ่งใน 3 โรค อันเป็นเหตุทำให้ประชากรโลกเสียชีวิตมากที่สุดหากนับรวมโรคเอดส์ และโรคมาเลเรีย ในวันที่ 24 มีนาคม ของทุกปี องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็น "วันวัณโรคสากล (WORLD TUBERCULOSIS DAY) เพื่อให้ร่วมมือกันควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนเล็งเห็นและตระหนักถึงอันตรายจากวัณโรค "Yes We Can End TB ยุติวัณโรค เราทำได้"  ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์วัณโรคทั่วโลกจาก 'องค์การอนามัยโลก' ระบุว่า แต่ละปีมีผู้ป่วยวัณโรคประมาณ 9 ล้านคน แต่ทั่วโลก มีถึง 3 ล้านคนที่ไม่เข้ารับการรักษา จากการคาดประมาณผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทยปีละ 105,000 คน หรือคิดเป็น 150 ต่อแสนประชากร ซึ่งถ้ายังไม่มีการค้นหาและผู้ป่วยวัณโรคยังไม่ได้เข้ารับการรักษาเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคอย่างมาก กลุ่มเสี่ยงสูงที่มีโอกาสจะป่วยเป็นวัณโรค ประกอบไปด้วย กลุ่มผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค ผู้ใช้สารเสพติด และติดสุราเรื้อรัง กลุ่มผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ให้บริการขับรถสาธารณะ แรงงานข้ามชาติ ผู้ต้องขังในเรือนจำ และกลุ่มแรงงานต่างด้าว  
            วัณโรครักษาหายได้ มียารักษาที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลารักษา 6-8 เดือน ต้องกินยาครบทุกเม็ด ทุกมื้อ ไม่หยุดยาเอง หากรักษาไม่ต่อเนื่อง หยุดยาเอง อาจก่อให้เกิดเชื้อดื้อยา ต้องใช้เวลาในการรักษานาน 9-18 เดือน การใช้กลยุทธ์ "คันให้พบ จบด้วยหาย" ในการค้นหาผู้ป่วยวัณโรคให้เข้าสู่ระบบให้เร็วที่สุดตลอดจนดูแลรักษาให้หายจากวัณโรค เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนรอบข้าง ส่งผลต่อการลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรค แต่การลดอัตราป่วยวัณโรครายใหม่ลงจะทำได้สำเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การยุติวัณโรคเพื่อให้เมืองไทยปลอดวัณโรค 
           ทั้งนี้ การป้องกันโรค เด็กแรกเกิดควรได้รับการฉีดวัคซีน BCG (วัคซีนแรกเกิด) ประชาชนทั่วไปควรดูแลสุขภาพออกกำลังกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตรวจการทำงานของปอด เลี่ยงการคลุกคสึใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรค โดยเฉพาะผู้สัมผัสผู้ป่วยใกล้ชิด บุคลากรทางการแพทย์ ควรได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อคัดกรองโรค และหากมีอาการน่าสงสัยว่าจะเป็นวัณโรค ควรรีบไปพบแพทย์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
นายฉลาด กันทะยัด /ทีมข่าว สวท.เชียงใหม่ / 24 มี.ค. 2566